ทฤษฎีโครงสร้างการเล่าเรื่อง (Storytelling) การเล่าเรื่องถือกำเนิดมาพร้อมกับสังคม และความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ เรื่องเล่าเป็นเสมือนกับต้นแบบหรือสิ่งที่มนุษย์ถือกำเนิดมาด้วย สังเกตได้จากการที่มนุษย์ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนต่างก็บริโภคเรื่องเล่ากันมาแล้วทั้งนั้น เรื่องเล่าปรากฏออกมาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของภาพเขียนบนผนัง งานศิลปะประเภทต่างๆ มุขปาฐะและนิทานปรัมปรา เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี ภาพยนตร์ และไม่เว้นแม้แต่กระทั่งในความฝัน ซึ่งสิ่งที่ปรากฏในฝันนั้นก็มีลักษณะของเรื่องราวที่สามารถนำมาเล่าเป็นเรื่องได้เช่นเดียวกัน วิธีการดำเนินงานของการเล่าเรื่อง ซึ่งมีทั้งสิ้น 2 วิธี ได้แก่ 1. การเชื่อมโยงการกระทำหรือเหตุการณ์เข้าด้วยกันตามลำดับเหตุการณ์หรือตามหลักของเหตุและผล 2. การจัดหาองค์ประกอบอื่นๆ มาเสริมให้เกิดความเข้มข้นขึ้นหรือก่อให้เกิดความเข้าใจที่ปะติดปะต่อจากสิ่งที่เห็นได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับตัวละคร และฉาก เป็นต้น การศึกษาการเล่าเรื่อง (Story telling) นั้น มักจะศึกษาโดยพิจารณาจากองค์ประกอบต่างๆ ของโครงสร้างการเล่าเรื่องตามทฤษฎีการเล่าเรื่อง (Narrative Theory) ซึ่งองค์ประกอบต่างๆ นั้นประกอบไปด้วย 1.
ช่วยบ่งบอกความแตกต่างไม่เหมือนใครของตัวคุณ (Uniqueness) แต่ละคนนั้นมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ในทั้งด้านทักษะ ประสบการณ์ แต่ทัศนคติ เพราะฉะนั้น Cover Letter จะช่วยบ่งบอกถึงความสามารถของตัวเราที่จะสามารถนำมาใช้ในบริษัทที่คุณสมัครได้ อีกทั้งยังเป็น จุดเด่น ที่อาจจะทำให้เราแตกต่าง พิเศษไม่เหมือนใคร ซึ่งหลายๆ ครั้ง HR จะดูหลายๆ อย่างในตัวผู้สมัครเพื่อให้แน่ใจว่าผู้สมัครนั้นมี Soft Skills ที่จะสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีในทีม 3. ช่วยให้ HR สามารถคาดเดานิสัยของผู้สมัครได้ (Personality) ไม่ว่าคุณจะเขียน หรือพิมพ์อะไร ต่อให้เป็นหัวข้อเดียวกันแต่ว่าแต่ละคนนั้นจะมีวิธีเขียนเป็นของตัวเอง การเขียนนั้นบางครั้งจะสามารถรู้สึกได้ถึงอารมณ์ หรือนิสัย หรือวิธีการทำงานได้จากการเลือกคำพูด และเรียบเรียงคำ การที่เรา พรีเซ็นต์ตัวเอง ได้ดีนั้น และใช้คำที่เหมาะสมหรือมีความหมายจะเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองได้ แม้เป็นประโยคสั้นๆ ก็ตาม 4.