โดยทั่วไปกิจการจะเก็บสินค้าคงคลังไว้ในระดับที่เหมาะสม หากกิจการเก็บไว้มากเกินความจำเป็นก็จะทำให้เกิดการสูญเสียในรูปดอกเบี้ย ( Interest) ค่าเก็บรักษา ( Inventory Carrying costs) เสื่อมค่า ( Depreciate) และค่าดูแลอื่น ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อ " มีให้ทันทีเมื่อยามต้องการ " ตรงกันข้ามหากกิจการมีสินค้าคงคลังน้อยไปไม่พอกับความต้องการก็จะเกิดความเสียหายขึ้นต่อกิจการ การผลิตอาจจะหยุดชะงักลง ลูกค้าขาดความน่าเชื่อถือ โอกาสยอดขายที่หายไป ประเภทของสินค้าคงคลัง ( Type of inventory) แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ( สุโขทัยธรรมาธิราช. 2543: 226) ดังนี้ 1. วัตถุดิบ ( Raw Materials) เป็นสิ่งของที่กิจการซื้อมาเพื่อป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตสำหรับผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูป 2. ชิ้นส่วน ( Assembly) เป็นชิ้นส่วนที่กิจการซื้อมาหรือผลิตขึ้นเพื่อนำไปผลิตต่อเป็นสินค้าสำเร็จรูปต่อไปหรือเป็นชิ้นส่วนประกอบที่เป็นส่วนหนึ่งของสินค้าสำเร็จรูป 3. วัสดุสิ้นเปลือง ( Supplies) เป็นวัสดุที่กิจการมีไว้ใช้ในการดำเนินการผลิตที่ได้เป็นส่วนสำคัญของสินค้าสำเร็จรูปต่อไป เช่น ด้าย กระดุม กระดาษ ปากกา เป็นต้น 4. สินค้าระหว่างการผลิต ( Work in Process) เป็นวัตถุดิบและชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการผลิตต่าง ๆ 5.
การจะทำธุรกิจทั้งทีคงไม่ใช่คิดแค่เรื่องว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน แต่ยังมีอีกหลายๆ องค์ประกอบที่จะทำให้กิจการของคุณเดินหน้าและเติบโต ซึ่งหนึ่งเรื่องที่ขาดไม่ได้คงจะเป็นเรื่องการจัดเก็บสินค้าคงคลัง แต่หลายคนคงยังสงสัยว่าสินค้าคงคลังคืออะไร แล้วจะมาช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างไร วันนี้เราลองไปหาคำตอบกันเลย สินค้าคงคลังคืออะไร ทำไมคุณถึงมีความสำคัญ? สินค้าคงคลังหมายถึงสินค้าหรือวัสดุต่างๆ ที่เก็บไว้รอการกระจาย ซึ่งอาจจะเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการดำเนินงานการผลิตหรือการขายสู่ท้องตลาด ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1.
จัดระเบียบให้กับสถานที่เก็บสินค้า แบ่งสถานที่เก็บสินค้าเป็นสัดส่วนชัดเจนสำหรับสินค้าแต่ละประเภท ทำรายการสินค้า โดยระบุตำแหน่ง เลขที่ชั้นวางสินค้า พร้อมทำป้ายกำกับชั้นวางสินค้าทุกชั้น และมีอัปเดตจำนวณสินค้าที่นำเข้า-ออกตลอดเวลา หากสินค้าชิ้นไหนที่มียอดการสั่งซื้อเยอะ คุณอาจจะปรับเปลี่ยนจุดวางสินค้าให้สามารถเข้าถึงง่าย เพื่อความสะดวกรวดเร็ว เพียร์ พาวเวอร์ คือผู้ให้บริการระบบคราวด์ฟันดิงที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก. ล. ต. )
สามารถมีสินค้าคงคลังบริการลูกค้าในปริมาณที่เพียงพอ และทันต่อการความต้องการของลูกค้าเสมอ เพื่อสร้างยอดขายและรักษาระดับของส่วนแบ่งตลาดไว้ 2.
ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อ (Ordering Cost) เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าคงคลังที่ต้องการ ซึ่งจะแปรตามจำนวนครั้งของการสั่งซื้อ แต่ไม่แปรตามปริมาณสินค้าคงคลัง เพราะสั่งซื้อของมากเท่าใดก็ตามในแต่ละครั้ง ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อก็ยังคงที่ แต่ถ้ายิ่งสั่งซื้อบ่อยครั้งค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อจะยิ่งสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อได้แก่ค่าเอกสารใบสั่งซื้อ ค่าจ้างพนักงานจัดซื้อ ค่าโทรศัพท์ ค่าขนส่งสินค้า ค่าใช้จ่ายในการตรวจรับของและเอกสาร ค่าธรรมเนียมการนาของออกจากศุลกากร ค่าใช้จ่ายในการชำระเงิน เป็นต้น 2. ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา (Carrying Cost) เป็นค่าใช้จ่ายจากการมีสินค้าคงคลังและการรักษาสภาพให้สินค้าคงคลังนั้นอยู่ในรูปที่ใช้งานได้ ซึ่งจะแปรตามปริมาณสินค้าคงคลังที่ถือไว้และระยะเวลาที่เก็บสินค้าคงคลังนั้นไว้ ค่าใช้จายในการเก็บรักษา ได้แก่ ต้นทุนเงินทุนที่จมอยู่กับสินค้าคงคลังซึ่งคือค่าดอกเบี้ยจ่ายถ้าเงินทุนนั้นมาจากการกู้ยืมหรือเป็นค่าเสียโอกาสถ้าเงินทุนนั้นเป็นส่วนของเจ้าของ ค่าคลังสินค้า ค่าไฟฟ้าเพื่อการรักษาอุณหภูมิ ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ชารุดเสียหายหรือหมดอายุเสื่อมสภาพจากการเก็บนานเกินไป ค่าภาษีและการประกันภัย ค่าจ้างยามและพนักงานประจาคลังสินค้า ฯลฯ 3.
ติดต่อที่โทร. 02-950-4253 เบอร์โทรศัพท์มือถือ: 086-335-3642 Line: @KTNDEVELOP Facebook:
แยกประเภทด้วยรหัสสินค้า และจัดการ SKU ติดป้ายหรือ Barcode เพื่อแยกประเภทสินค้าด้วยรหัสสินค้าให้ตรงกับรายการสินค้าที่ขายเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ รวมถึงกำหนด Stock Keeping Unit (SKU) ให้สินค้าแต่ละประเภทมีความแตกต่างชัดเจน เพื่อให้การจัดส่งสินค้าสะดวก รวดเร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น 2. เตรียมพร้อมสำหรับอีเว้นท์และฤดูกาลต่างๆ วางแผนการขายล่วงหน้าสำหรับอีเว้นท์หรือเทศกาลต่างๆ ที่สอดคล้องกับสินค้าและพฤติกรรมของลูกค้าของคุณ เช่น หากคุณขายเครื่องเขียน เมื่อใกล้ช่วงวันเปิดเทอม แน่นอนว่าความต้องการซื้อสมุด ปากกา ดินสอต้องเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ดังนั้นจึงต้องเตรียมสต็อกสินค้าให้พร้อม 3. รู้ระยะเวลาจัดหาสินค้า สินค้าแต่ละชนิดที่นำมาขายจะต้องรู้ระยะเวลาในการจัดหาว่ามากน้อยเพียงใดกว่าสินค้าจะเดินทางมาถึง เพื่อปรับเพิ่ม/ลดจำนวน สต๊อกสินค้าในระบบหลังบ้าน หรือระยะเวลาการจัดส่งให้สอดคล้องกัน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ 4. ตรวจสอบคลังสินค้าประจำ ควรตรวจสอบคลังสินค้าประจำ โดยสามารถกำหนดได้เป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน เพื่ออัปเดตจำนวนสินค้าที่ขายได้ และนำมาคำนวณรายได้ กำไร และวางแผนการสั่งซื้อสินค้าในล็อตใหม่ต่อไป 5.
2543: 227) ดังนี้ 1. ด้านการลงทุน หากกิจการมีสินค้าคงเหลือในคลังมากเกินไปเท่ากับกิจการเอาเงินทุนไปจมอยู่ในวัสดุคงเหลือเกินความจำเป็นทั้ง ๆ ที่กิจการสามารถนำเงินไปลงทุนในกิจกรรมอื่นที่เกิดประโยชน์หรือให้ผลตอบแทนได้ ดังนั้นการจัดการสินค้าคงคลังจึงมีวัตถุประสงค์ทางด้านการเงินเพื่อให้มีการลงทุนในวัสดุคงเหลือน้อยที่สุด และไม่เกิดความเสี่ยงต่อการที่สินค้าขาดสต็อก 2. ด้านการผลิตและการขาย เพื่อให้กิจการมีวัสดุคงเหลือเพียงพอแก่การผลิตและการขายเพราะถ้าเกิดขาดมือจะทำให้การผลิตหยุดชะงัก ซึ่งจะเกิดผลเสียต่อกิจการและจะทำให้มีสินค้าออกมาไม่ทันต่อการขาย อาจทำให้สูญเสียลูกค้าไปให้คู่แข่งขันได้ 3. ด้านการดาเนินงาน เพื่อให้มีวัสดุคงเหลือที่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้ในการผลิตการขายและการใช้งานได้ตลอดเวลาที่ต้องการ สำหรับการดำเนินงานตามปกติของกิจการการขายและการใช้งานได้ตลอดเวลาที่ต้องการ สำหรับการดำเนินงานตามปกติของกิจการ ที่มาของรูป: