บัตรเครดิต (Credit Card) แค่ชื่อก็บอกแล้วว่าคนที่มีเครดิตเท่านั้นถึงจะทำได้ โดยผู้สมัคร บัตรเครดิต ต้องมีรายได้มั่นคงขั้นต่ำ 15, 000 บาทต่อเดือนและมีประวัติการชำระเงินที่ดี หลังจากที่ได้รับการอนุมัติให้กลายเป็นผู้ถือบัตรแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่มีการตรวจสอบรายได้อีก ดังนั้น ก่อนลาออกควร สมัครบัตรเครดิตไว้หลายใบ เอาที่มีสิทธิประโยชน์คุ้มค่าและค่าธรรมเนียมรายปีขอยกเว้นได้โดยง่าย เพื่อใช้รูดไปก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลัง แถมยังจ่ายถูกกว่าชำระด้วยเงินสด โดยต้องไม่ลืมว่าพอใบแจ้งหนี้มา ก็ไปชำระตรงเวลาแบบเต็มจำนวนด้วย 5. บัตรเดบิต (Debit Card) ทุกวันนี้เราใช้บัตรเดบิตเพื่อกดเงินแทนบัตรเอทีเอ็ม แต่ มีบัตรเดบิตประเภทหนึ่งที่ควรถือไว้ เพราะเพิ่มความคุ้มครอง ประกันอุบัติเหตุ ไม่ต้องสำรองจ่ายเงินไปก่อนเวลาเข้าโรงพยาบาล โดยเสียค่าธรรมเนียมรายปีเพิ่มเล็กน้อยแค่หลักร้อย หากต้องการความคุ้มครองทั้งประกันอุบัติเหตุและค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (PA & OPD) ก็มีให้เลือก โดยเสียค่าธรรมเนียมรายปีหลักพัน ซึ่งผมคิดว่าคุ้มเพราะเดี๋ยวนี้ค่ารักษาพยาบาลแพงมาก ยอมเสียค่าบัตรดีกว่าต้องไปเสียเงินเองทั้งหมด 6.
อาชีพเสริม (Second Job) ใครอยากลาออก อย่าเพิ่งลาออกในทันที แต่ให้ใช้ช่วงเวลาหลังเลิกงานและวันหยุดสุดสัปดาห์ลองทำอาชีพเสริมที่อาจกลายเป็นอาชีพหลักในอนาคต อย่างการขายของออนไลน์ ลงทุนคอนโด ทำคลิปท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งผมถือว่าการทำอาชีพเสริมเป็นการปูทางไปสู่ธุรกิจส่วนตัวได้อย่างมั่นคง เพราะถ้าลองทำแล้วไม่ใช่ ก็มีเวลาลองใหม่จนเจออาชีพที่สร้างตัวได้อย่างแท้จริง 2. เงินสำรอง (Reserve Money) ความมั่นคงและปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ เวลาขึ้นเครื่องลงเรือยังต้องมีเสื้อชูชีพ ฉะนั้น ใครอยากลาออกก็ต้องมั่นใจว่าตนเองมีความมั่นคงทางการเงินมากพอ โดยต้อง มี เงินสำรอง ไว้ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 12 เดือน แยกออกจากเงินสำรองที่เป็นทุนในการเริ่มต้นทำธุรกิจ ซึ่งมากน้อยต่างกันตามประเภทธุรกิจ ดังนั้น ถ้าเลือกได้ควรเลือกธุรกิจที่ใช้ทุนน้อยก่อนเพื่อลดความเสี่ยงต่อภาวะการขาดสภาพคล่องทางการเงิน 3. หนี้สิน (Debt) การทำงานประจำเปรียบเหมือนชีวิตในเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่การทำธุรกิจเปรียบเหมือนเดินบุกป่าฝ่าดงต่าง ๆ นานาจนกว่าจะเจอสมบัติ ดังนั้นใครที่อยากลาออกต้องเตรียมตัวเข้าป่า ฟิตร่างกายให้พร้อมที่สุด เช่นเดียวกับการลาออกจากงานประจำต้อง เคลียร์หนี้สิน ออกไปก่อนให้มากที่สุด โดยหนี้สินทั้งหมดไม่ควรเกินทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ แต่หากยังทำไม่ได้ แนะนำให้เก็บความคิดที่อยากลาออกเอาไว้ก่อนจะดีกว่า 4.
มองหารายได้เสริม หากว่าเราพอมีความสามารถอื่นๆ เช่น ถ่ายรูป เล่นดนตรี อยู่ในระดับที่ดี เราก็อาจจะมองหารายได้เสริมในระหว่างที่รองานประจำอยู่ก็เป็นได้ นอกจากจะช่วยให้เรามีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว ไม่แน่ในอนาคตอาจจะเป็นรายได้หลักของเราก็เป็นได้ 10. พักผ่อนชาร์จพลังเตรียมไฟให้พร้อมลุยงานใหม่ หลังจากทำทั้งหมดมานี้ก็ยังไม่ได้งานใหม่ เราก็อาจจะใช้เวลานี้ในการพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อที่จะเป็นการชาร์จแบต และเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานต่อไปของเราก็ได้ เพราะบางคนก่อนที่จะว่างงานก็อาจจะได้ทำงานมาหนักมาก จึงถือโอกาสนี่พักก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด หวังว่า 10 ข้อที่ว่านี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คนที่กำลังจะลาออกหรือว่างงานอยู่ ไม่ว่ายังไงก็ขอเอาใจช่วยให้ได้งานใหม่เร็วๆ ครับ
แชร์ความคิดเห็นกันเสมอ สอบถามความคิดเห็นกับตลอด บางองค์กรที่ไม่มีระบบแชร์ความรู้ความคิดเห็น หรือเปิดโอกาสให้พนักงานได้พูดคุยส่วนตัวกับหัวหน้างาน พนักงานอาจเจอปัญหาแล้วเก็บกด ไม่มีที่ระบาย ทั้งปัญหาส่วนตัว, ปัญหาผู้ร่วมงาน, หรือว่าแม้แต่ปัญหาในการทำงาน ก็อาจจะเครียดจนต้องลาออกได้ องค์กรควรเปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูด ร่วมกันแสดงความคิดเห็น ช่วยกันแก้ปัญหา และควรมีการนัดคุยแบบส่วนตัวอย่างเท่าเทียมกันทุกคนและสม่ำเสมอด้วย เพื่อให้พนักงานได้ feedback และไม่รู้สึกผิดในการถูกเรียกไปคุย กล้าพูด ผู้บริหารหรือหัวหน้างานอาจได้ข้อมูลมาปรับปรุงให้ดีขึ้น และควรต้องเก็บความลับให้ได้ด้วย 8. สร้างความเชื่อมั่นให้พนักงาน สร้างความหมายในตัวเองให้กับบุคลากร หลายคนตัดสินใจออกจากงานเพราะอาจไม่มั่นใจว่าตนเองจะสามารถรับผิดชอบงานได้ดี ทำงานได้บรรลุเป้าหมาย หรือตนมีความสามารถไม่พอ หรือแม้แต่ตัวเองรู้สึกไม่มีความหมายต่อองค์กร สิ่งเหล่านี้หัวหน้างานไปจนถึงฝ่าย HR เองควรรู้วิธีสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวพนักงานเอง ส่งเสริม ให้กำลังใจ ให้โอกาส สร้างความมั่นใจ ยืนเคียงข้างเมื่อล้ม หากพนักงานไม่ได้ต่อสู้คนเดียวก็อาจจะกล้าเดินต่อได้ และเขาอาจจะพบความสำเร็จที่เขาไม่คาดคิดว่าเขาจะทำได้ก็เป็นได้ 9.
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยให้มนุษย์เงินเดือนมีเงินก้อนในวัยเกษียณ แต่การลาออกทำให้ต้องออกจาก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก่อนวัยอันควรและต้องนำมาคำนวณเสียภาษีเงินได้อีกด้วย ข่าวดีปัญหานี้มีทางออกแล้วโดยในปี 2558 พ. ร. บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพฉบับใหม่ ให้โอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ไปอยู่ในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF ได้ ทำให้สามารถเลือกรูปแบบการลงทุนได้หลากหลาย และสะสมเงินไว้จนถึงเกษียณ ซึ่งจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่นไม่ควรปล่อยให้เงินสะดุด ใครอยากลาออก แต่ยังไม่มีความมั่นคงทางการเงิน ก็อย่าเพิ่งใจร้อน แม้ว่าจะออกจากงานได้ช้าลง แต่ก็มั่นใจได้ว่าฐานะการเงินปลอดภัย สิ่งที่ผมหยิบยกมา 7 อย่างเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ควรรู้ และควรศึกษาค้นหาเพิ่มเติมกันนะครับ
สร้างทิศทางความก้าวหน้าในอาชีพ เสริมแผนพัฒนาศักยภาพ ใครๆ ต่างก็ต้องการเติบโตในหน้าที่การงานทั้งนั้น หากมองไม่เห็นทิศทางที่ก้าวหน้าก็อาจเป็นเหตุให้พนักงานลาออกได้ ความก้าวหน้านั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องของตำแหน่งหน้าที่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการมอบโอกาสงานใหม่ๆ ให้ด้วยเหมือนกัน ความก้าวหน้าอีกด้านก็คือการพัฒนาศักยภาพให้สูงขึ้น ตรงจุดนี้องค์กรมีแผนพัฒนาศักยภาพของพนักงานหรือเปล่า อย่างเช่นการอบรมต่างๆ, การดูงาน, หรือแม้แต่การศึกษาต่อที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน เป็นต้น CHECK!! 4.
1 สิทธิประกันตนกรณีว่างงาน การรับสิทธินี้ มีเงื่อนไขว่าเราต้องมีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนว่างงาน จึงจะมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือในส่วนนี้ โดยสิ่งที่จะได้รับคือ - กรณีถูกเลิกจ้างจะได้รับประโยชน์ทดแทนในอัตรา 50% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 180 วัน – กรณีลาออกจากงาน ได้รับในอัตรา 30% ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วัน ตามเงื่อนไขในการส่งเงินสมทบแต่ละกรณี 2. 2 หลังจากลาออกจากงาน เราก็จะยังได้รับความคุ้มครองจากสำนักงานประกันสังคมต่ออีก 6 เดือน โดยนับตั้งแต่วันที่เราออกจากงาน ซึ่งความคุ้มครองที่ได้รับมี 4 กรณี คือ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ส่วนรายละเอียดต่างๆ จะเป็นไปตามเงื่อนไขในการส่งเงินสมทบแต่ละกรณีตามที่กำหนดไว้ 3. เช็คจำนวนเงินที่เรามีอยู่ทั้งหมด เมื่อเราเดินเรื่องทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและประกันสังคมแล้ว ก็ให้เรามาดูว่าเงินต่างๆ ของเรามีอะไรบ้าง เช่น เงินเก็บ เงินสำรอง เงินเดือนสุดท้ายที่ผ่านมา เป็นต้น จากนั้นจึงนำทั้งหมดมาคำนวณรวมกันเพื่อที่เราจะได้ตัวเลขของเงินที่เรามีอยู่ทั้งหมดในช่วงที่ว่างงานนี้ 4. วางแผนการใช้จ่ายเงินที่มีอยู่ หลังจากเรารู้ยอดเงินทั้งหมดที่เรามีอยู่ ก็ให้เราจัดการวางแผนการใช้จ่าย โดยให้คำนวณเป็นรายเดือน ว่าเดือนหนึ่งนั้นเรามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ หรืออาจจะคำนวณเป็นรายสัปดาห์ก็ได้แล้วแต่ความสะดวก แต่ต้องไม่ลืมที่จะคำนวณค่าใช้จ่ายประจำเดือน เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น เพื่อที่จะได้มองเห็นตัวเลขได้ชัดว่า เรามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่และเงินที่เรามีอยู่จะสามารถอยู่ได้กี่เดือน เพียงพอต่อการหางานใหม่หรือไม่นั่นเอง 5.
ผลตอบแทนที่ได้นั้น "คุ้มค่า" บ้ างไหม เช่นเดียวกันกับความชื่นชอบ สิ่งหนึ่งที่เราตอบตัวเองได้คือ "ผลตอบแทน" จนมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายคนบอกผมว่า "ถ้าจ้างงานหนักแค่ไหน แต่เงินถึงเราก็ไป" ไชโย… แต่อย่าลืมพิจารณาเรื่องของ "ความคุ้มค่า" ด้วยนะครับว่า "ผลตอบแทนที่เราได้นั้น" คือ"มูลค่าที่กิจการยอมจ่าย" บวกด้วย "ค่าเสียโอกาส" เพราะสิ่งที่เรายอมแลกไปเพื่อให้ได้กลับมา ไม่ใช่มีแค่ต้นทุนเวลาในการทำงานเพียงอย่างเดียว อย่าลืมพิจารณาถึง โอกาสการเติบโต ความก้าวหน้าในสายอาชีพ และเรื่องอื่นๆที่สำคัญในการใช้ชีวิตด้วยนะครับ 3.