5 mg/dL ผู้หญิง ค่าช่วง 2. 7 – 7. 3 mg/dL เด็ก ค่าช่วง 2. 5 – 5. 5 mg/dL ค่าวิกฤติของ Uric acid ค่าใดๆที่มากกว่า 12 mg/dL ค่าน้อยผิดปกติ 1. อาจเกิดโรค wilson's disease เป็นภาวะที่ตับเก็บสะสมทองแดงไว้เกินขนาด 2. อาจเกิดสภาวะ Fanconi syndrome อันเนื่องจากการได้รับโลหะหนักมากเกินไป 3. อาจเกิดจากพิษจากสารตะกั่วเป็นเวลานาน ค่ามากผิดปกติ 1.
จนหยุดถ่าย ( ไม่เกิน 16 มก. /วัน) 1. 4 ยาลดการอักเสบชนิด Corticosteroids ใช้เมื่อใช้ NSAIDs หรือ Colchicine ไม่ได้ผล แบ่งเป็น ยาชนิดรับประทาน: เช่น Prednisolone 20-30 มก. /วัน รับประทานติดต่อกัน 3-5 วัน ก่อนหยุดยา 1 วันควรเริ่ม colchicine วันละ 1-2 เม็ด เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ยาฉีด: ใช้ฉีดเข้าข้อ (Intra-articular): เช่น Dexamethasone, Triamcinolone acetonide ผลข้างเคียงมาก เพิ่มการคั่งของน้ำและเกลือแร่ ทำให้บวมน้ำ ความดันโลหิตสูง ต้อหิน เป็นต้น ชนิดรับประทานอาจเกิดแผลที่กระเพาะอาหาร จึงต้องรับประทานหลังอาหารทันที และไม่ควรซื้อหาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เภสัชกร 2. การให้ยาควบคุมอาการในระยะยาว: เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ การลุกลามของโรค การทำลายของอวัยวะ ใช้เมื่อ มีระดับ uric acid ในเลือดสูงมาก หรือมีโรคแทรกซ้อนจากภาวะยูริกในเลือดสูง เช่น นิ่ว โรคไต มีภาวะเฉียบพลัน ( acut attack of gout) กำเริบซ้ำบ่อยๆ 2. 1 ยาลดการสร้างกรดยูริก ได้แก่ Allopurinol: อาจเริ่มให้ขนาด 100 มก. /วัน แล้วค่อยๆเพิ่มขนาดช้าๆ ปกติใช้ 300 มก.
ยาบรรเทาอาการปวด และลดการอักเสบ. ของข้อระยะเฉียบพลัน (Acute gout attack) ใช้ในช่วงที่มีอาการกำเริบ ได้แก่ 1. 1 ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ( NSAID s) เลือกยาที่ออกฤทธิ์เร็ว เช่น Indomethacin, Naproxen, Diclofenac, Ibuprofen, Piroxicam แต่ละตัวมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน ห้ามใช้ aspirin ขนาดต่ำ (<2 g/day) จะทำให้ระดับ uric acid ในเลือดสูง 1. 2 ยาลดการอักเสบชนิด Cox-2 inhibitors มีเพียงตัวเดียวที่ได้รับการรับรองให้ใช้ใน gout คือ Etoricoxib (Arcoxia®) 120 mg วันละครั้ง เนื่องจากยาทั้ง 2 กลุ่มนี้ระคายเคืองทางเดินอาหาร อาจเกิดแผล หรือทำให้คลื่นไส้ อาเจียน จึงต้องรับประทานหลังอาหารทันทีและดื่มน้ำตามมากๆ ผู้ที่เป็นโรคไต: ต้องลดขนาดยาลง ผู้ที่แพ้ยากลุ่มซัลฟา ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม Cox-2 inhibitor 1. 3 Colchicine เป็นยาที่จำเพาะเจาะจงอย่างยิ่งในการรักษาข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์ ลดการปวดแต่ไม่มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ ประสิทธิภาพพอๆกับ NSAIDs ยิ่งให้เร็วตอนที่มีอาการยิ่งได้ผลดี ขนาดยาปกติให้ 1 เม็ด (0. 6mg) ทุก 1-2 ชั่วโมงจนกระทั่งอาการปวดลดลง หรือจนผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือได้รับยาจนถึงขนาดสูงสุด(6 mg) แล้วจึงหยุดยา ผู้ป่วยตับและไตผิดปกติต้องลดขนาดยา หากใช้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการกดไขกระดูกได้ จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ กรณีเกิดท้องเสียจากยา: ให้หยุดยา colchicines ก่อน แล้วให้ ยาหยุดถ่าย loperamide (2 mg) 2 เม็ดทันที หากไม่หยุดถ่าย ให้ 1 เม็ด ทุก 6 ชม.
เผยแพร่ครั้งแรก 19 ต. ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ. ย.
หากมีข้อสงสัยปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร 2. ข้อมูลผลกรดยูริก เป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น มิสามารถระบุชี้ชัดได้จากตัวท่านเอง หากไม่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ที่ชัดเจนก่อน ซึ่งจะต้องมีการตรวจค่าทางห้องปฏิบัติการค่าอื่นๆร่วมด้วยเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เอกสารอ้างอิง 1. Uric acid. Lab Tests Online®. American Association for Clinical Chemistry (AACC). Last modified: January 27, 2012. [cited in 1 February 2012]. Available from. 2. อัญชนะ พานิช, จุลภัทร ยศสุนทรากุล, สมชาย เอี่ยมอ่อง. Uric acid and Kidney. Available from. 3. Low Purine Diet. Drug Information Online, [cited in 1 February 2012]. Available from. 4. ประสาร เปรมะสกุล. ใน: คู่มือแปลผลตรวจเลือด เล่มแรก. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพ: อรุณการพิมพ์; 2553. หน้า 214. เรียบเรียงโดย ภญ. สุพรรณิการ์ ประทีปจรัสแสง
หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุต่อข้อ หรือการออกกําลังกายอย่างหักโหม เนื่องจากจะทําให้ข้ออักเสบกําเริบ 7. ขณะที่มีข้ออักเสบ ควรพักการใช้งานตำแหน่งดังกล่าว การประคบเย็นช่วยบรรเทาอาการปวดบวมได้ การรักษาโดยใช้ยา ประกอบไปด้วยการรักษา 2 อย่าง ได้แก่ 1. ยาควบคุมอาการอักเสบ ใช้รักษาการอักเสบเฉียบพลัน และป้องกันการอักเสบกำเริบระหว่างปรับระดับกรดยูริกให้ได้ตามเป้าหมาย ได้แก่ ยาโคลชิซิน (Colchicine), ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs; NSAIDs) และยาสเตียรอยด์ (Steroid) 2.
4–7. 0 มก. ต่อเดซิลิตร หรือ 202–416 ไมโครโมลต่อลิตร ผู้หญิง: 2. 4–6. ต่อเดซิลิตร หรือ 143–357 ไมโครโมลต่อลิตร เด็ก: 2. 0–5. 5 มก.