ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนสำส่อน มักมากในกาม มีหลายคนที่ติดเชื้อ HIV จากแม่ จากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้ป่วย และอาจติดจากคู่ครองของตนเอง นั่นหมายความว่า หากมีเพศสัมพันธ์กับแค่คนๆ เดียว แต่หากเป็นผู้ติดเชื้อ ก็มีโอกาสติดเชื้อต่อจากคนนั้นได้เช่นกัน 5. เชื้อ HIV ไม่ได้ติดต่อกันง่ายเหมือนไข้หวัด เชื้อ HIV ไม่สามารถติดกันได้ ผ่านทาง - กอด จูบ (ยกเว้น จะมีแผลในปาก และเป็นการจูบแลกลิ้น แลกน้ำลายกัน) - ทานข้าวร่วมกัน จานเดียวกัน ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน หรือแม้แต่ใช้ช้อน ส้อมคันเดียวกัน - มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัย - ลมหายใจ - ใช้สบู่ ครีมอาบน้ำ แชมพู ยาสีฟัน ร่วมกัน เชื้อ HIV ติดต่อกันได้ผ่านทาง - สารคัดหลั่ง เลือด ผ่านการใช้อุปกรณ์อย่างเข็มฉีดยา - เลือด และการให้นมบุตรของแม่ - รับสารคัดหลั่ง และเลือด เข้าสู่ร่างกายผ่านแผล (ต้องเป็นแผลสดๆ เท่านั้น) - โอกาสที่จะติดเชื้อ ไม่ใช่ 100% เสมอไป 6. ผู้ติดเชื้อ HIV อาจไม่ต้องทานยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต หากทานยาต้านไวรัสตรงเวลา ดูแลรักษา สุขภาพ ร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ มีโอกาสที่เชื้อไวรัส HIV อาจจะลดลงเรื่อยๆ จะอาจสามารถหยุดการทานยาได้ แต่แพทย์จะยังคงตรวจสุขภาพต่อเป็นระยะๆ 7.
ว่า โรคติดเชื้อไวรัส "HIV" เอชไอวี และโรคเอดส์ "AIDS" มีความแตกต่างกัน รู้จัก " HIV" และ โรค "AIDS" พญ. รพีพรรณ รัตนวงศ์นรา มอร์ด ประจำสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ และ พว.
เห็นแค่ภายนอก แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครป่วยเป็น โรคซิฟิลิส หรือใครไม่ป่วย เพราะระยะฟักตัวขอโรคซิฟิลิส ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ คือแทบจะไม่แสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด เพราะฉะนั้นการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ จึงเป็นวิธีการป้องกันที่ปลอดภัยจากโรคนี้รวมถึงเชื้อเอชไอวีด้วย ซิฟิลิสคืออะไร?
แม้ว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมาช้านาน กล่าวถึงชื่อโรคนี้ใครๆ ก็รู้จัก แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่ายังมีคนไทยหลายคนที่ยังมีความรู้เกี่ยวกับโรค เอดส์ และผู้ป่วย HIV อย่างไม่ถูกต้องเท่าที่ควร Sanook! Health เลยรวบรวมความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ โรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV มาให้ทุกคนได้ปรับความเข้าใจกันใหม่ค่ะ 8 สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV 1. โรคเอดส์ กับเชื้อ HIV ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน - HIV เป็นเชื้อไวรัส - เอดส์ เป็นภาวะที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งเป็นหลังจากที่ร่างกายถูกทำร้ายจากไวรัส HIV อีกทีหนึ่ง 2. เป็นเอดส์ ยังมีโอกาสรอด ถึงแม้จะยังไม่มีวิธี และ ยารักษาโรค เอดส์โดยตรง แต่หากพบในระยะที่ยังเป็นผู้ติดเชื้ออยู่ ผู้ป่วยสามารถทานยาต้านไวรัส ไม่ให้เชื้อไวรัสทำร้ายภูมิคุ้มกันในร่างกาย จนแสดงอาการผิดปกติออกมาได้ เพราะฉะนั้นยิ่งพบเชื้อเร็ว ยิ่งควบคุมเชื้อไวรัสได้ง่าย โอกาสรอดชีวิตก็ยิ่งมีสูง นอกจากนี้เมืองไทยยังมีสวัสดิการมอบยาต้านไวรัสให้กับผู้ติดเชื้อฟรีอีกด้วย เพียงลงทะเบียนเข้าโครงการรับยาต้านไวรัสกับโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ และคอยติดตามผลกับแพทย์อยู่เสมอ 3. เป็นเอดส์ ติดเชื้อ HIV ต้องตายด้วยอาการมีแผล ตุ้ม หนอง ขึ้นเต็มตัว นั่นเป็นอาการของโรคฉวยโอกาส อาจจะเป็นโรควัณโรค ซึ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายหลังจากที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ไม่ดี ปล่อยให้เชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายจนแสดงอาการได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นโรคที่แสดงอาการทางผิวหนังก็ได้ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น 4.
หาความรู้เกี่ยวกับโรค ให้มากที่สุด 2. ศึกษาวิธีป้องกัน การแพร่เชื้อไปสู่คนอื่น 3. รับยาต้านไวรัส ( Antiviral therapy) เป็นประจำ อย่าให้ขาดยา 4. รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง ผู้ที่ติดเชื้อแล้วจะยังไม่เกิดอาการรุนแรง หรือไม่มีอาการอยู่เป็นเวลานาน บางคนไม่มีอาการผิดปกติเป็นเวลาหลายๆปี ในช่วงเวลาเหล่านี้ควรออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ (อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วน และน้ำหนักตัวเกิน) พักผ่อนให้เพียงพอ เลิกดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ เลิกพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม 5.